คนทำงานในบริษัทไอทีขนาดยักษ์เริ่ม ขาสั่น เมื่อ Google, IBM หรือ Dropbox ต่างบอกว่ากำลังพึ่งพา AI

IT Lay off แม้ไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับอุตสาหกรรมไอที แต่คราวนี้ไม่เหมือนก่อนเพราะหลังจากนี้อาจจะไม่มีการกลับเข้าทำงานใหม่แล้ว เพราะ AI จะทำแทน
Share

 

บริษัทยักษ์ใหญ่หลายแห่งได้มีการปรับลดพนักงานลงมากในปีนี้ เนื่องจากสภาวะตลาดที่ไม่เอื้ออำนวย ความเคลื่อนไหวนี้เริ่มมีให้เห็นกันมาเรื่อยๆ ตั้งแต่ต้นปี 2565  หลายบริษัทให้เหตุการปลดพนักงานว่าต้องการมุ่งเน้นประสิทธิภาพและรักษาองค์กรให้มีขนาดพอเหมาะ คล่องตัว อีกทั้งลดตำแหน่งงานที่เกินความจำเป็น

 

คนทั่วไปมองว่าการปรับองค์กร น่าจะเพื่อมุ่งเน้นให้เกิดประสิทธิภาพมากขึ้น แต่ดูเหมือนว่าหลายบริษัทอย่าง Meta, Google และ Dropbox จะมีการเตรียมนำเอาปัญญาประดิษฐ์หรือ AI เข้ามาทำงานแทนที่

Brookings Institute ได้ศึกษาผลกระทบของ AI ที่มีต่อสภาพเศรษฐกิจ และยังเผยต่อไปอีกว่ามีหลายบริษัทที่ใช้ข้ออ้างเรื่องปัญหาด้านเศรษฐกิจเพื่อลดการจ้างงาน โดยที่ตำแหน่งงานเหล่านั้นอาจกำลังจะถูกแทนที่ด้วยเทรนด์เทคโนโลยียอดนิยมอย่าง AI ก็เป็นได้

 

IT Lay off แล้วแทนที่ด้วย AI

การเปลี่ยนมาใช้ AI อาจหมายถึงการจ้างงานในอัตราเดียวกัน แต่เป็นทีมงานที่เชี่ยวชาญในระบบหรือวิศวกรด้านแมชชีนเลิร์นนิง หรือกระทั่งผู้เชี่ยวชาญด้านการประมวลผลภาษาธรรมชาติก็ตาม เพื่อส่งเสริมให้ AI ทำงานได้มีประสิทธิภาพใกล้เคียงกับมนุษย์ โดยที่เม็ดเงินในการจ้างบุคลากรกลุ่มนี้จะถูกดึงมาจากแผนกงานอื่นๆ

ในขณะเดียวกัน การตั้งเป้านำเอา AI เข้ามาใช้งานอาจหมายถึงอาจมีงานบางอย่างที่คนในองค์กรไม่ต้องลงมือทำเอง เพราะในบางเรื่อง AI มีความเชี่ยวชาญระดับมืออาชีพเลยทีเดียว ซึ่งหลายงานก็เคยถูกควบคุมและทำโดยใช้ทักษะของมนุษย์ เช่น การเขียนอีเมล การวิเคราะห์ข้อมูล และแม้แต่การเขียนโค้ด

ผู้เชี่ยวชาญถึงกับให้การยอมรับว่าสำหรับบางธุรกิจ การประยุกต์ใช้ระบบ AI ที่มีโครงสร้างข้อมูลขนาดใหญ่ เช่น ChatGPT หรือ GPT-4 อาจสร้าง “ผลกระทบที่สำคัญ” ต่อการดำเนินงานในแต่ละวัน ตัวอย่างเช่น ซีอีโอของบริษัทสตาร์ทอัพอย่าง Genies เพิ่งซื้อ ChatGPT เพื่อให้พนักงานทุกคนได้ใช้ปรับปรุงขั้นตอนการทำงานของบริษัท

จุดนี้เลยเป็นที่มาที่ผู้เชี่ยวชาญหลายคนเริ่มออกมาชี้ให้เห็นถึง ความหวาดระแวง กับพนักงานในหลายองค์กร เรียกว่า “เก้าอี้เริ่มร้อน นั่งไม่ค่อยติดกันแล้ว” ทำให้คนทำงานหลายคนเริ่มหันมามองพร้อมตั้งคำถามกับตัวเอง ถึงงานที่กำลังทำอยู่ว่าสำคัญต่อองค์กรขนาดไหน และเป็นงานที่ทดแทนได้ด้วยเครื่องมือเหล่านี้หรือไม่ ซึ่งด้วยพัฒนาการของเทคโนโลยี อาจทำให้คำถามลักษณะนี้ ตอบยากขึ้นเรื่อยๆ

 

ยักษ์ IT พาเรด IT Lay off แต่เตรียมของทดแทนไว้แล้ว

หลายองค์กรได้เปิดเผยถึงการนำ AI มาใช้ในองค์กร และมีการหยุดการจ้างงานใหม่รวมถึงมีการเลิกจ้างพนักงานบางส่วนแล้วด้วยเช่นกัน

Buzzfeed ได้มีการประกาศเลิกจ้างพนักงานจำนวน 15% พร้อมปิดแผนกงานด้านข่าวลงในช่วงปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมา ซึ่งข่าวการเลิกจ้างและปิดฝ่ายข่าวเกิดขึ้นหลังจากที่บริษัทประกาศนำเอา AI เข้ามาใช้สำหรับการสร้างคอนเทนต์ ซึ่งหลังจากที่มีการประกาศว่าจะนำเครื่องมือรุ่นใหม่มาใช้ ก็ทำให้ราคาหุ้นของบริษัทถีบตัวสูงขึ้นถึง 2 เท่า

โดยในเนื้อหาของจดหมายเลิกจ้างที่ Jonah Peretti ประธานเจ้าหน้าที่บริหารระบุไว้ก็คือ “เพื่อเป็นการเริ่มนำ AI เข้ามาช่วยปรับปรุงทุกแง่มุมของกระบวนการขาย รวมถึงลดความซ้ำซ้อนที่มีอยู่ในกระบวนการบริหารธุรกิจ พร้อมกับลงท้ายจดหมายว่า

บริษัทจะ “ทำงานร่วมกันเพื่อขับเคลื่อนองค์กรธุรกิจที่คล่องตัวและมุ่งเน้นมากขึ้น” ซึ่งรวมถึงการนำนวัตกรรมมาสู่ลูกค้ามากขึ้น

 

ในขณะที่ Dropbox เอง ซึ่งเป็นบริษัทผู้ให้บริการคลาวด์สตอเรจ ได้ประกาศปลดพนักงาน 500 ตำแหน่งหรือคิดเป็น 16% ของพนักงานทั้งหมดที่มีอยู่ทั่วโลกในช่วงปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมาเช่นกัน

เนื้อหาในจดหมายที่ Drew Houston ซีอีโอ ของ Dropbox ระบุถึงเหตุผลก็คือ ส่วนหนึ่งเพื่อให้บริษัทสามารถมุ่งเน้นไปที่การขยายผลิตภัณฑ์ AI โดยระบุว่า “ยุคของ AI มาถึงในที่สุด เราเชื่อมาหลายปีแล้วว่า AI จะให้พลังพิเศษและเปลี่ยนงานด้านการเรียนรู้อย่างสิ้นเชิง และเรารอเรื่องนี้มาเป็นเวลานานและภายในปีนี้จะได้เห็นในผลิตภัณฑ์ของเรา”

 

Google เองก็ได้มีซีอีโอ คือ Sundar Pichai ออกมาประกาศช่วงปลายเดือนมกราคมว่า บริษัทจะตัดลดพนักงานจำนวน 12,000 ตำแหน่ง คิดเป็น 6% ของกำลังคนทั้งหมด ที่มีการจ้างงานเกินความจำเป็นมาตลอดช่วง 2 ปีที่ผ่านมา

งานนี้ ซีอีโอของ Google ไม่ได้ให้รายละเอียดว่าเป็นแผนกไหน แต่สังเกตได้ว่าการปรับลดจะครอบคลุมทั่วทั้งบริษัท ไม่ว่าจะเป็นด้านผลิตภัณฑ์ ความสามารถการใช้งาน และในระดับภูมิภาค แม้ดูจะเป็น “ทางเลือกที่ยากลำบาก” ที่บริษัทถูกบังคับให้เลือก แต่ซีอีโอ ยืนยันว่า ปัจจุบันคือช่วงระยะแรกของการลงทุนใน AI ซึ่ง Google เองยังต้องพัฒนาและมีโอกาสเติบโตในแวดวงนี้อีกมาก

 

สำหรับ IBM ในช่วงกลางเดือนพฤษภาคม Arvind Krishna ซึ่งเป็นซีอีโอ ของ IBM ได้ประกาศว่า บริษัทคาดว่าจะหยุดจ้างงานชั่วคราวสำหรับตำแหน่งที่ AI สามารถแทนที่ได้ โดยคาบเกี่ยวกับงานในฝ่ายทรัพยากรบุคคลและแผนกที่ไม่ได้ติดต่อโดยตรงกับลูกค้า ซึ่งปัจจุบันในส่วนนี้มีการจ้างงานอยู่ถึง 26,000 อัตรา

โดย ซีอีโอ IBM ตั้งใจว่าจะสามารถนำ AI เข้ามาแทนที่งานเหล่านี้ประมาณ 30% ในช่วง 5 ปีต่อจากนี้ ซึ่งคิดเป็นตำแหน่งงานที่จะหายไป 7,800 อัตรา

 

บริษัทอย่าง Meta เองก็ได้มีการประกาศในช่วงกลางเดือนมีนาคม 2566 ว่า Meta จะมีการการปลดพนักงานประมาณ 10,000 คนในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าและระงับตำแหน่งงานที่เปิดรับอยู่ 5,000 ตำแหน่ง ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่เกิดขึ้นหลังจากที่บริษัทได้เลิกจ้างพนักงาน 11,000 คนเมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว

โดยเนื้อหาในจดหมายเลิกจ้าง Mark Zuckerberg ได้เน้นย้ำถึงการมุ่งเน้นที่ AI ในแง่ของการเป็นอีกหนึ่งสาขาธุรกิจที่ต้องทำให้เติบโต พร้อมกับทิ้งท้ายไว้ในจดหมายที่ส่งถึงพนักงานว่า “บริษัทฯ ได้ลงทุนไปกับเงินก้อนโตในการพัฒนา AI และสร้างมันไว้ในผลิตภัณฑ์ทั้งหมดของบริษัท”

 

แม้ว่าการจ้างและเลิกจ้างพนักงานถือเป็นเรื่องปกติของธุรกิจโดยเฉพาะในแวดวงเทคโนโลยี และมีให้เห็นกันเรื่อยๆ ตั้งแต่ที่ยังไม่มี AI เกิดขึ้นก็ตาม แต่คราวนี้ การมาของ AI คล้ายจะเป็นตัวสร้างคลื่นยักษ์ครั้งใหญ่ ที่เรายังคงต้องจับตาดูกันต่อไปว่าสถานการณ์นี้จะยังคงดำเนินต่อไปนานแค่ไหน อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีงานอีกมากมายที่ AI ยังไม่สามารถแทนที่มนุษย์ได้ ซึ่งคนทำงานเอง ก็ยังคงมีหน้าที่พัฒนาศักยภาพในการควบคุม AI ให้ใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

 

บทความอ้างอิง Insider.com : Big Tech jobs are on the line after Google, IBM, and Dropbox say they’re leaning into AI

 

innomatter

innomatter

ข่าวไอที นวัตกรรม พลังงาน และความยั่งยืน

Related Articles