คุณสุพจน์ สิริกุลภัสสร์ CEO เจเอเอส แอสเซ็ท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ในปี 2025 ก็เป็นอีกปีหนึ่งที่มีความท้าทายสูงมากในการดำเนินธุรกิจ จากที่เรามีแผนจะเปิดขยายสาขา และ Business Unit ใหม่ของ Jas Asset ซึ่งก็คือ กลุ่มธุรกิจโรงแรม แต่ด้วยสถานกาณ์ทางเศรษฐกิจจึงได้ชะลอแผนนี้ลงไปก่อน และหันมาโฟกัสในสิ่งที่เราถนัด เชี่ยวชาญ และเห็นโอกาสในระยะสั้นก่อน ด้วยการปรับปรุงห้างที่เรามีอยู่ และสิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือ การสร้างพันธมิตรใหม่ๆ ทำให้เกิด Tenant Mix ที่หลากหลาย โดยมุ่งไปที่กลุ่มธุรกิจที่จะสามารถเติบโตไปพร้อม ๆ กับ JAS ได้”
“ยกตัวอย่างของสุกี้ตี๋น้อยที่เป็นพันธมิตรกับ JAS อยู่แล้ว เมื่อจะเปิดไลน์ธุรกิจใหม่ มาเล่นตลาดปิ้งย่าง ก็มีห้างของ JAS ที่ตั้งอยู่ใกล้ชุมชนที่เป็นกลุ่มลูกค้าของเขา ทางตี๋น้อยก็พร้อมที่จะขยายธุรกิจใหม่ที่ scale ได้อย่างเร็ว จากฐานลูกค้าเดิม และการหาโลเคชั่นที่เหมาะสมในห้างของเรา”
ปัจจุบัน เรามีสุกี้ตี๋น้อยอยู่ให้ห้างของ JAS ทั้งหมด 5 สาขา และจะเพิ่มตี๋น้อย บาร์บีคิวอีก 3 สาขา คือ คู้บอนที่ปัจจุบันเปิดให้บริการแล้ว โดยอีก 2 สาขาที่จะทยอยเปิดคือ บางบัวทอง และ ศรีนครินทร์ ใช้พื้นที่รวมทุกสาขากว่า 4,700 ตรม นอกจากนี้ยังมาสาขาที่อยู่ในขั้นตอนการดำเนินการวิเคราะห์ทางธุรกิจอีก 3 แห่ง โดยถ้าเปิดครบทุกสาขาตามเป้า แบรนด์ตี๋น้อย ก็จะอยู่กับ JAS ทั้งหมด 11 ร้าน ใช้พื้นที่รวมกว่า 6,600 ตรม.
นอกจากนี้เราก็มีพันธมิตรใหม่ๆที่เป็นซุปเปอร์มาร์เก็ตเข้ามาตั้งแต่ต้นปีที่แล้ว อย่างแม็คโครที่ไปเปิดที่แจส วิลเลจ อมตะ ชลบุรี ช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี 2024 โลตัส มาเปิดที่สาขาประเวศ และล่าสุดปลายปี 2024 เราได้กลุ่ม Big C ที่เอาพรีเมี่ยมแบรนด์อย่าง Big C Food Place มาเปิดที่เดอะ แจส รามอินทรา
ปี 2025 เราตั้งใจเปิดพื้นที่โซนให้เช่าเป็นสำนักงานเพิ่มขึ้น สำหรับบริษัทที่จะเปิดใหม่ หรือมีสำนักงานสาขาที่ต้องการออกมาโซนรอบเมือง กับการจอดรถที่สะดวก มีร้านอาหาร ร้านเครื่องดื่ม Food Court ซุปเปอร์มาร์เก็ตที่สะดวกกับพนักงาน เพราะโควิดทำให้หลายบริษัทใช้พื้นที่สำนักงานขนาดเล็กลง มีการทำงานแบบ Work From Anywhere ได้ การมาเช่าพื้นที่ในศูนย์การค้าชุมชนก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือก
“ส่วนการซัพพอร์ตผู้ประกอบการที่อยู่ในห้างของเรา เรามีกิจกรรม JAS Live Mall โดยมีทีมที่จะช่วยผู้ประกอบการทำธุรกิจขายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ โดยใช้ Tiktok เพื่อให้ผู้ประกอบการขนาดกลาง และเล็กได้เพิ่มช่องทางการขายออนไลน์โดยไม่ต้องลงทุน ในมุม Customer Journey เรามี JAS Family ที่เป็นระบบ CRM ให้สิทธิประโยชน์แก่ลูกค้า และแน่นอนมีระบบสะสมคะแนนผ่าน Jpoint ที่เป็น Ecosystem ของ Jaymart เพื่อให้ทางลูกค้าสามารถ Earn/Burn คะแนนได้” คุณสุพจน์ กล่าว
นอกจากธุรกิจหลักในการพัฒนาพื้นที่เช่า และการสร้างและบริหารศูนย์การค้าชุมชน เราต้องการที่จะนำเอา ความเป็นตัวตนของเราตาม Slogan ของ JAS คือ “Synergetic Wellbeing Community Builder” มาสร้างให้เกิดเป็นรูปธรรมมากขึ้น ด้วยเราอยู่กับชุมชน เราจึงอยากให้การพัฒนาพื้นที่ของเรา มีการดูแลและการเข้าถึงบริการสุขภาพ จากการมองเห็นโอกาสทางธุรกิจที่ปัจจุบันโลกและประเทศไทยได้เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มรูปแบบแล้ว สังคมไทยแม้จะมีเรื่องความกตัญญู แต่วิถีการใช้ชีวิตในปัจจุบันที่ครอบครัวมีขนาดเล็กลง คนวัยทำงานมีเงิน แต่ไม่มีเวลา ก็เกิดเป็น Pain และ ธุรกิจการดูแลผู้สูงอายุ และ ผู้มีภาวะพึ่งพิงจึงเป็นโอกาสทางธุรกิจที่ JAS มองเห็น และตั้งใจที่จะพัฒนาโครงการที่เป็น Mixed Use ที่เป็น Lifestyle Nursing Home อยู่ติดห้างชุมชนเพื่อความสะดวกของผู้อยู่และญาติ ที่สำคัญยังให้ความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของสังคม ไม่ได้รู้สึกเหมือนถูก Left Out
แม้จะเป็นแทรนด์ธุรกิจที่ตามกระแส และมีความต้องการในตลาดสูง แต่ก็เป็นธุรกิจใหม่ที่จำเป็นที่มีการโฟกัส รวมถึงการปรับปรุงพัฒนาอย่างต่อเนื่อง จึงเป็นที่มาที่ทาง Jas Asset เห็นถึงความจำเป็นที่จะ Appoint ผู้ที่จะมาดูแลธุรกิจเวลเนสของบริษัทฯ เราจึงแต่งตั้ง คุณพงศิยา กิตติขจร ที่ปัจจุบันเป็นผู้อำนวยการฝ่ายธุรกิจซีเนร่า เวลเนส อยู่แล้วขึ้นมาทำหน้าที่เป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทซีเนร่า ซีเนียร์ เวลเนส จำกัด ต่อไป
คุณพงศิยา กล่าวว่า “SENERA” เกิดมาจากการที่คุณสุพจน์ และกลุ่มเจมาร์ทมี passion ในการสร้างสังคมผู้สูงอายุที่ได้มาตรฐาน สร้างความสุขทางกาย ใจ อารมณ์ให้วัยหลังเกษียณ เป็นธุรกิจที่มีความท้าทายจากวัฒนธรรมไทยที่ยึดถือความกตัญญู การมีคู่แข่งมากมาย ซึ่งหลายแห่งบริหารโดยแพทย์ วันนี้เราจับธุรกิจการดูแลผู้สูงอายุ และผู้มีภาวะพึ่งพิงนำร่องไปก่อน ในอนาคตเราอยากต่อยอดความเป็น “Wellbeing” ให้สมบูรณ์ขึ้นในทุกมิติ
ปัจจุบัน SENERA เปิดให้บริการแล้ว 2 สาขา คือ คู้บอน (เปิดให้บริการในปี 2022)และ บางบัวทอง
SENERA ทั้ง 2 สาขาที่เปิดให้บริการแล้ว มีจำนวนเตียง 207 เตียงในการรองรับผู้สูงอายุ และผู้พักฟื้น ต้องการการพึ่งพิงด้วยงบลงทุนกว่า 500 ล้านบาท โดยมีกว่า 300 ครอบครัวที่เข้ามารับบริการจากทาง SENARA ในตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา
“การทำธุรกิจในปัจจุบัน จะเติบโตได้เราควรต้องมีพันธมิตรที่มีความแข็งแรง เชี่ยวชาญเฉพาะเรื่องส่งเสริมกันและกัน เพราะเราคงไม่เก่งไปได้ทุกเรื่อง เราอยากทำหน้าที่เหมือนสะพานเชื่อมการดูแลสุขภาพกาย ใจ อารมณ์ เป็นเหมือน Wellbeing Bridge เกิดเป็น Sustainable Happiness ที่รองรับสังคมผู้สูงอายุ และครอบครัวให้ใช้ชีวิตได้อย่างไม่สะดุด มีบริการทางสุขภาพรองรับในช่วงเวลาที่ต้องการ ไม่ว่าจะเป็นระยะสั้น หรือระยะยาว รวมถึงเตรียมศึกษาโมเดลธุรกิจ Wellness Real Estate ต่อไป
นอกจากนี้ SENERA ยังมีแผนที่จะเข้าถึงชุมชน ด้วยการเข้าไปดูแลสุขภาพให้ถึงชุมชน ขยายการบริการไปยัง JAS ทั้ง 8 สาขา และ Senera Home Care ที่เป็นบริการส่งคนไปดูแลผู้สูงอายุ หรือผู้อยู่ในระยะพักฟื้นถึงบ้าน และเรามีบริการให้คำปรึกษาปรับบ้านให้เหมาะกับผู้สูงอายุ ไปจนถึงรับออกแบบ และรับปรับปรุงบ้านอีกด้วย