คุณยังดูทีวีอยู่ไหม ถ้ายังดูอยู่เชื่อว่าต้องดู smart tv แน่นอน และยังเชื่อต่อว่า คนไทย 80% เลือกซื้อกูเกิ้ลทีวีมากกว่า OS ของแบรนด์ ก็เพราะต้องการระบบเปิด เพิ่มแอปได้มากมายรวดเร็ว แถมยังคุ้นเคยกว่ามาก ล่าสุดกูเกิลประกาศจะนำระบบเอไอ Gemini มาใส่ในกูเกิลทีวี มันจะเป็นยังไงถ้าเราเล่นเอไอตัวเด็ดๆ จาก smart tv ที่บ้าน
เรื่องมันมีอยู่ว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ กูเกิลได้ประกาศนำ Gemini ซึ่งเป็นโมเดล AI ขั้นสูงของบริษัท มาผสานเข้ากับแพลตฟอร์ม Google TV เพื่อยกระดับประสบการณ์การใช้งานของผู้ใช้ การผสานนี้จะช่วยให้ผู้ใช้สามารถค้นหาเนื้อหาและสั่งงานต่าง ๆ ได้โดยไม่จำเป็นต้องเริ่มด้วยคำว่า “Hey Google” นอกจากนี้ ยังสามารถถามคำถามทั่วไป เช่น “ภาพยนตร์ล่าสุดของ Disney มีอะไรบ้าง” หรือ “สถานที่ท่องเที่ยวที่ดีที่สุดในเอเชียช่วงฤดูร้อนคือที่ไหน” และ Google TV จะนำเสนอผลลัพธ์จาก YouTube และแหล่งข้อมูลอื่นๆ
นอกจากนี้ Google TV ยังได้รับการปรับปรุงด้วยไมโครโฟนระยะไกล ทำให้ผู้ใช้สามารถใช้คำสั่งเสียงได้โดยไม่ต้องใช้รีโมต และเซ็นเซอร์ตรวจจับความใกล้ชิดที่จะแสดงวิดเจ็ตส่วนบุคคลเมื่อผู้ใช้เข้าใกล้ทีวี การอัปเดตเหล่านี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของกูเกิลในการนำ AI มาช่วยปรับปรุงประสบการณ์การใช้งานทีวีให้ทันสมัยและตอบสนองความต้องการของผู้ใช้มากยิ่งขึ้น
นอกจากกูเกิลแล้ว ยังมีบริษัทอื่นๆ ที่นำเทคโนโลยี AI มาผสานเข้ากับผลิตภัณฑ์ทีวีของตน เพื่อยกระดับประสบการณ์การรับชมของผู้ใช้ เช่น ซัมซุงได้เปิดตัว Samsung AI TV ที่ใช้ AI เพื่อปรับปรุงความคมชัดของภาพและเสียง รวมถึงฟีเจอร์อัจฉริยะอื่นๆ นอกจากนี้ แอลจียังได้พัฒนา LG FURON ซึ่งเป็นเอเจนต์ AI อัจฉริยะที่ผสานเทคโนโลยี AI เชิงสร้างสรรค์เข้ากับการตรวจจับพื้นที่แบบเรียลไทม์และการวิเคราะห์เชิงลึก เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานที่ตอบโจทย์และตอบสนองได้ดียิ่งขึ้น ความเคลื่อนไหวเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่าบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำต่างนำ AI มาผสานเข้ากับผลิตภัณฑ์ของตนเพื่อยกระดับประสบการณ์ของผู้ใช้
เมื่อเทคโนโลยี AI อย่าง Google Gemini, Samsung AI TV และ LG FURON เข้าสู่ตลาด อุตสาหกรรมทีวีและความบันเทิงภายในบ้านจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีผลกระทบในหลายด้าน เช่น ประสบการณ์ผู้ใช้ที่พัฒนาไปอีกขั้น โดยทีวีจะกลายเป็นผู้ช่วยอัจฉริยะที่เข้าใจคำสั่งเสียงและให้คำแนะนำที่แม่นยำขึ้น, AI สามารถวิเคราะห์พฤติกรรมการรับชม และแนะนำเนื้อหาที่ตรงใจผู้ใช้มากขึ้น, ระบบสั่งงานแบบไร้รีโมต เช่น ไมโครโฟนระยะไกล ทำให้การใช้งานสะดวกกว่าเดิม
ส่วนทางด้านการแข่งขันของผู้ผลิตนั้นการเอาเทคโนโลยีมาเป็นจุดขายจะรุนแรงขึ้น แบรนด์ทีวีต่าง ๆ จะเร่งพัฒนาฟีเจอร์ AI ของตัวเองให้ล้ำหน้ากว่าคู่แข่ง และความเป็นไปได้ต่อไปคือผู้ผลิตอาจต้องร่วมมือกับบริษัท AI ชั้นนำ เช่น OpenAI, NVIDIA หรือ Baidu เพื่อสร้างโมเดล AI ที่ฉลาดยิ่งขึ้น การเอาเอไอแบรนด์ตัวเองที่ฉลาดน้อยกว่าคู่แข่ง อาจจะหมดยุคไป
ในแง่ของโอกาสทางการตลาดและโฆษณาแบบเฉพาะบุคคล เมื่อ AI สามารถวิเคราะห์พฤติกรรมการดูและแสดงโฆษณาที่ตรงกับความสนใจของผู้ใช้ และมันเป็นเอไอกลางไม่ใช่เอไอของแอปตัวนั้นๆ เรื่องมันก็จะซับซ้อนมากขึ้น แพลตฟอร์มสตรีมมิงอย่าง Netflix หรือ YouTube อาจใช้ AI เพื่อให้ข้อเสนอพิเศษแบบเฉพาะบุคคล เพราะเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภคมากขึ้น
คราวนี้มันเริ่มกระทบต่อความเป็นส่วนตัว เพราะการที่ทีวีสามารถรับฟังคำสั่งเสียงตลอดเวลาอาจก่อให้เกิดข้อกังวลด้านความเป็นส่วนตัว ผู้ใช้ต้องพิจารณาเงื่อนไขการเก็บข้อมูล และอาจต้องการเครื่องมือควบคุมข้อมูลที่มากขึ้น
ความฉลาดของเอไอ ความสะดวกสบายของผู้ใช้ที่มากขึ้น แบรนด์เอาเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามามากขึ้น นั่นนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมการบริโภคสื่ออย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ผู้ใช้จะคุ้นเคยกับการให้ AI คัดกรองเนื้อหาให้แทนที่จะเลือกเอง การดูทีวีแบบดั้งเดิม เช่น ช่องดาวเทียม อาจลดลงเมื่อ AI แนะนำเฉพาะเนื้อหาที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล
โดยรวมแล้ว AI บนแพลตฟอร์มทีวีจะทำให้การรับชมเป็นเรื่องที่ฉลาดขึ้น สะดวกขึ้น และเป็นส่วนตัวมากขึ้น แต่ก็ต้องจับตาดูว่าผู้บริโภคจะยอมรับการเปลี่ยนแปลงนี้แค่ไหน และประเด็นด้านความเป็นส่วนตัวจะถูกจัดการอย่างไร
แต่สิ่งหนึ่งที่กวนใจ หลังจากกูเกิลนำ Gemini มาใช้ก็คือ AI ของระบบปฏิบัติการ (OS AI) กับ AI ของแพลตฟอร์ม (Platform AI) อาจมีทั้งความร่วมมือและความขัดแย้งทางธุรกิจขึ้นอยู่กับว่าแต่ละฝ่ายวางกลยุทธ์อย่างไร
ก่อนอื่นมาดูกันก่อนว่าการทำงานร่วมกันของ OS AI และ Platform AI มันเป็นอย่างไรกันแน่ แน่นอนหลักการแรกก็คือ ทั้งสองตัวต้องผสานการทำงานเพื่อให้ผู้ใช้ได้ประสบการณ์ที่ดีที่สุด OS AI เช่น Google Gemini บน Android TV, Siri บน Apple TV จะทำหน้าที่เป็นแกนหลักของระบบ ช่วยควบคุมการทำงานของอุปกรณ์และรองรับคำสั่งที่ครอบคลุมทุกแอป ส่วน Platform AI เช่น AI ของ Netflix, YouTube, Disney+ ใช้ข้อมูลเฉพาะของแพลตฟอร์มเพื่อปรับแต่งประสบการณ์ เช่น แนะนำเนื้อหาโดยอิงจากประวัติการดู ตัวอย่าง: ผู้ใช้สามารถพูดกับ OS AI ว่า “แนะนำหนังไซไฟที่น่าสนใจ” แล้ว OS AI อาจให้ Netflix AI คัดกรองตัวเลือกให้โดยใช้ข้อมูลเชิงลึกของแพลตฟอร์ม
สิ่งที่เราจะได้รับคือ ระบบแนะนำอัจฉริยะ (AI-driven recommendation) โดย OS AI สามารถรวบรวมข้อมูลจากทุกแพลตฟอร์มที่ติดตั้งและแสดงตัวเลือกแบบรวมศูนย์ ส่วน Platform AI สามารถใช้ AI ของ OS เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการแสดงผลเนื้อหา ตัวอย่าง: Google TV อาจใช้ Gemini AI เพื่อสรุปว่าผู้ใช้ชอบหนังไซไฟ และแจ้งให้ Netflix AI ปรับการแนะนำให้สอดคล้อง
คำถามคือมีโอกาสเกิดความขัดแย้งทางธุรกิจระหว่างสองเอไอนี้หรือไม่ เราเรียกสิ่งนี้ว่า “การแข่งขันเพื่อเป็นศูนย์กลางของผู้ใช้” เพราะ OS AI ต้องการให้ผู้ใช้ค้นหาคอนเทนต์และใช้งานผ่านระบบของตัวเอง เช่น Google TV อยากให้ใช้ Gemini AI แต่ขณะเดียวกัน Platform AI ต้องการให้ผู้ใช้เข้าสู่แพลตฟอร์มโดยตรง เช่น Netflix อยากให้ผู้ใช้ค้นหาผ่านแอปของตัวเอง
ลองนึกภาพปัญหาที่อาจเกิดขึ้น: เมื่อ Google TV อาจแนะนำคอนเทนต์จาก YouTube มากกว่า Netflix เพราะกูเกิลกับยูทูปนั้นเจ้าของเดียวกัน ส่วน Apple อาจให้ Siri เน้นแนะนำคอนเทนต์จาก Apple TV+ มากกว่าคู่แข่ง ในด้านการเข้าถึงข้อมูลผู้ใช้ แน่นอน OS AI มีข้อมูลพฤติกรรมการใช้แอปทั้งหมด แต่ Platform AI ก็จะมีข้อมูลพฤติกรรมการดูเฉพาะเจาะจง แพลตฟอร์มอาจไม่อยากให้ OS AI ใช้ข้อมูลของพวกเขาเพื่อแนะนำเนื้อหาอื่น ๆ ตัวอย่างข้อขัดแย้ง: Netflix อาจไม่ต้องการให้ Google ใช้ข้อมูลการรับชมเพื่อแนะนำคอนเทนต์จาก Prime Video หรือ Apple อาจปิดกั้นไม่ให้ Google Gemini AI รวบรวมข้อมูลจาก Apple TV+
จุดตายจะอยู่ที่เรื่อง การควบคุมโฆษณาและรายได้ หาก OS AI เป็นตัวกลาง มันสามารถแสดงโฆษณาหรือโปรโมตเนื้อหาได้ก่อนที่ผู้ใช้จะเข้าแพลตฟอร์ม ส่วน Platform AI อาจไม่ต้องการให้ OS AI กำหนดลำดับความสำคัญของคอนเทนต์ ตัวอย่างข้อขัดแย้ง: หาก Google เรียกเก็บค่าธรรมเนียมจากแพลตฟอร์มเพื่อให้คอนเทนต์ขึ้นอันดับแรก มันอาจทำให้แพลตฟอร์มอย่าง Netflix ไม่พอใจ ส่วน Apple อาจจำกัดไม่ให้ AI ของคู่แข่งเข้าถึงข้อมูลการใช้งาน Apple TV+
เมื่อเทคโนโลยีมีให้ใช้ แต่เทคโนโลยีนั้นมีเจ้าของ แม้เราจะซื้อทีวีด้วยเงินของเรา แต่เอไอนั้นไม่ใช่ของเรา ถึงแม้เราจะสั่งมันได้ทุกอย่าง แต่มันก็ไม่ใช่ของเรา แบบนี้มันจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้กันแน่ สิ่งที่เราจะเห็นก็คือ ความร่วมมือเกิดขึ้นแน่นอน เพราะผู้ใช้ต้องการความสะดวก OS AI และ Platform AI จึงต้องทำงานร่วมกันให้ราบรื่น แต่ความขัดแย้งทางธุรกิจจะมีแน่ โดยเฉพาะเรื่องสิทธิ์การเข้าถึงข้อมูลและการควบคุมคอนเทนต์ บริษัทที่มีทั้ง OS และแพลตฟอร์ม เช่น Apple, Google, Amazon จะได้เปรียบ เพราะสามารถควบคุมระบบทั้งหมดได้
สุดท้ายแล้ว การแข่งขันนี้จะเป็นการต่อสู้ระหว่าง OS AI ที่คุมระบบทั้งหมด กับ Platform AI ที่คุมเนื้อหาเฉพาะ ว่าใครจะได้อำนาจในการชี้นำพฤติกรรมของผู้ใช้มากกว่ากัน แต่ถ้ามองในระยะยาว OS AI มีแนวโน้มจะเหนือกว่า Platform AI ด้วยเหตุผลหลัก ๆ ดังนี้:
OS AI ควบคุมอินเทอร์เฟซหลักของผู้ใช้ เพราะ OS เป็นตัวกลางที่ผู้ใช้ต้องโต้ตอบก่อนเข้าสู่แพลตฟอร์มใดๆ และ AI ของ OS สามารถกำหนดว่าผู้ใช้จะเห็นคอนเทนต์ใดก่อน เช่น Google TV อาจแสดงแนะนำจาก YouTube ก่อน Netflix ซึ่ง ข้อได้เปรียบของ OS AI คือ ควบคุม UI/UX ทำให้สามารถดึงผู้ใช้ไปสู่บริการของตนเองได้, สามารถบังคับใช้ มาตรฐาน AI ที่แพลตฟอร์มต้องปฏิบัติตาม, มีอิทธิพลเหนือ ฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ เช่น Amazon Alexa บน Fire TV หรือ Siri บน Apple TV
OS AI ควบคุมสิทธิ์การเข้าถึงข้อมูล เพราะ OS AI มีสิทธิ์เข้าถึงพฤติกรรมของผู้ใช้ทุกแอป รวมถึงข้อมูลจากอุปกรณ์อื่น ๆ เช่น สมาร์ทโฟนและสมาร์ทโฮม ส่วน Platform AI อาจพยายามปกป้องข้อมูลของตัวเอง เช่น Netflix อาจไม่ต้องการให้ Google ใช้ข้อมูลการดูหนังของลูกค้าไปแนะนำคอนเทนต์คู่แข่ง ข้อได้เปรียบของ OS AI ก็คือ เข้าถึง พฤติกรรมการใช้งานทั้งหมด ไม่ใช่แค่ภายในแพลตฟอร์มเดียว, สามารถรวบรวมข้อมูลข้ามอุปกรณ์ เช่น Google Gemini สามารถใช้ข้อมูลจากมือถือ Pixel, Google Home และ TV ได้
OS AI สามารถผูกขาดโฆษณาและรายได้ OS สามารถควบคุมว่าผู้ใช้จะเห็นโฆษณาหรือคอนเทนต์ใดก่อน โดย Google สามารถแสดงโฆษณาในหน้า Google TV ก่อนที่ผู้ใช้จะเข้าถึงแอปของแพลตฟอร์ม เช่น Netflix หรือ Disney+ เช่นเดียวกับ Apple สามารถโปรโมต Apple TV+ บน Siri ก่อนแนะนำเนื้อหาจากคู่แข่ง ข้อได้เปรียบของ OS AI: สามารถขายพื้นที่โฆษณาให้แพลตฟอร์ม หรือกดดันแพลตฟอร์มให้จ่ายเงินเพื่อให้คอนเทนต์ของตัวเองถูกแนะนำ, สามารถสร้างรายได้จากการควบคุมอีโคซิสเต็มทั้งหมด เช่น Google มี Play Store, YouTube และ Search
เช่นนี้แล้ว Platform AI ยังมีโอกาสชนะไหม? ถึงแม้ OS AI จะมีอำนาจมากกว่า แต่ Platform AI ยังสามารถแข่งขันได้หาก: สร้างคอนเทนต์พิเศษที่ OS AI ไม่มี เช่น Netflix และ Disney+ ผลิตเนื้อหาที่ไม่สามารถหาได้จากที่อื่น, สร้าง AI ที่มีฟีเจอร์เฉพาะตัวที่ดีกว่า OS AI เช่น Netflix AI สามารถแนะนำคอนเทนต์ได้แม่นยำกว่า Google Gemini, ใช้วิธีล็อกอินตรง (Direct Login) เพื่อข้าม OS AI เช่น หากผู้ใช้เข้าแอป Netflix โดยตรงผ่านมือถือหรือพีซี OS AI จะไม่สามารถแทรกแซงได้
มาถึงบทสรุป ขอฟันธงตรงนี้ว่า OS AI จะเป็นผู้ชนะในระยะยาว เพราะควบคุม อินเทอร์เฟซหลัก ของผู้ใช้ เข้าถึง ข้อมูลข้ามแพลตฟอร์ม มีอำนาจเหนือ ระบบโฆษณาและการจัดลำดับเนื้อหา แต่… แพลตฟอร์มอย่าง Netflix หรือ Disney+ ยังพอแข่งขันได้ ถ้าพวกเขาสร้างเนื้อหาพิเศษและระบบแนะนำที่เหนือกว่า OS AI