สงครามอิงค์แทงค์ไม่จบ อย่าเพิ่งนับศพทหาร 

Share

 

ตลาดอิงค์แทงค์พรินเตอร์ระบบสามก๊ก ยังคงระดมสรรพกำลังเล่นศึกต่อเนื่อง หลังจากแบรนด์อเมริกันยกธงขาว เหลือแบรนด์ญี่ปุ่นล้วน เรามาไล่เรียงกันถึงอิงค์แทงค์ยุคใหม่ที่มีเอไอมาเกี่ยวข้อง ว่าภาพรวมจะเป็นเช่นไร

สงครามเครื่องพรินเตอร์ระดับล่าง ประเภทผู้ใช้ตามบ้าน หรือร้านค้าปลายแถว เมื่อสิบปีที่แล้วก็ต้องยกให้พรินเตอร์อิงค์เจ็ต แต่หลังจากมีช่างเทคนิคหัวใส เปิดร้านติดตั้งอิงค์แทงค์ในเครื่องอิงค์เจ็ต โดยผู้ใช้ยอมทุกอย่าง ไม่ว่าจะทำให้เครื่องดูรกรุงรัง สีสันงานพิมพ์อาจไม่สวย หัวพิมพ์อาจอุดตัน แม้กระทั่งยอมให้เครื่องหลุดประกัน เพื่อให้ใช้หมึกพิมพ์ราคาประหยัด ยาวนาน ดีกว่าไปซื้อหมึกพิมพ์ผูกขาดของแบรนด์พรินเตอร์ 

เมื่อกระแสมันเกิด รุนแรงจนผู้ผลิตอิงค์เจ็ตพรินเตอร์แบรนด์ดังทั้งหลายทนไม่ไหว จนต้องผลิตพรินเตอร์อิงค์แทงค์ออกมาสู่ตลาด ของเถื่อนก็ค่อยๆ หมดไป แต่กำไรหรือการผูกขาดตลาดหมึกของแบรนด์ก็หายไปด้วย ที่สำคัญแบรนด์ที่ไม่มาตามนัด ถึงกับหายไปจากตลาดกันเลยทีเดียว

ยุคของสามก๊กตลาดพรินเตอร์ปัจจุบัน ก็ยังเป็นสามก๊กอยู่ แต่แค่เปลี่ยนก๊กก็เท่านั้น เราจะมาวิเคราะห์ตลาดและแนวโน้มของ “อิงค์แทงค์” กันว่าในตลาดไทยแล้ว จะถูกจัดวางกันต่อไปอย่างไร เรื่องนี้แอดมินจะเล่าให้ฟัง

พรินเตอร์อิงค์แทงค์ (Ink Tank Printer) จัดเป็นเครื่องพิมพ์ระบบอิงค์เจ็ตที่มีแทงค์หมึกแยกต่างหากจากตลับหมึกแบบดั้งเดิม หมึกจะถูกจ่ายเข้าสู่หัวพิมพ์ผ่านท่อหมึก ทำให้พิมพ์ได้ต่อเนื่องและลดต้นทุนต่อแผ่นลงมากเมื่อเทียบกับพรินเตอร์ที่ใช้ตลับหมึก

ข้อดีของพรินเตอร์อิงค์แทงค์ ต้นทุนการพิมพ์ต่อแผ่นต่ำ หมึกขวดเติมได้เยอะกว่าและถูกกว่าตลับหมึก เหมาะกับงานพิมพ์ปริมาณมาก เช่น เอกสารในออฟฟิศหรือร้านรับพิมพ์งาน การเติมหมึกง่าย แค่เปิดฝาแล้วเติมหมึกในแทงค์ ตัวหมึกไม่แห้งง่าย เพราะระบบออกแบบให้หมึกไหลเวียนได้ดี แต่ข้อเสียของอิงค์แทงค์คือ ราคาสูงกว่าพรินเตอร์อิงค์เจ็ตธรรมดา ตอนซื้อครั้งแรก ต้องใช้เป็นประจำ ถ้าปล่อยไว้นาน อาจเกิดปัญหาหัวพิมพ์อุดตัน เครื่องใหญ่กว่าพรินเตอร์อิงค์เจ็ตปกติ เพราะมีแทงค์หมึกเพิ่ม

ตลาดพรินเตอร์อิงค์แทงค์ในประเทศไทยมีการแข่งขันสูง โดยมีแบรนด์หลักอย่าง Epson, Canon, HP และ Brother เข้าร่วมแข่งขัน จากข้อมูลในปี 2018 พบว่า Epson ครองส่วนแบ่งตลาดพรินเตอร์อิงค์แทงค์สูงสุดที่ 50% ตามด้วย Brother 21%, Canon 20% และ HP 9% ในปี 2023 Epson ประกาศยอดขายพรินเตอร์อิงค์แทงค์ทั่วโลกทะลุ 100 ล้านเครื่อง 

ข้อน่าสังเกตของตัวเลขปี 2018 คือ ส่วนแบ่งตลาดของ HP ในกลุ่ม พรินเตอร์อิงค์แทงค์ อยู่ที่ 9% ซึ่งถือว่าน้อยกว่า Epson, Brother และ Canon ที่ครองตลาดมากกว่า จากที่เคยเป็นสามแบรนด์ยักษ์ใหญ่ของไทย ดังนั้นจะเห็นภาพที่เกิดขึ้นคือ HP สู้ไม่ได้ หรือไม่สู้ในตลาดนี้ ทำให้ตั้งแต่นั้นมา HP ก็เริ่มหายไปจากตลาดนี้ในที่สุด อาจจะเพราะมรสุมของบริษัทแม่ และบริษัทอเมริกันยังไปได้กับพรินเตอร์เลเซอร์และอิงค์เจ็ตแบบเดิม ทำให้ไม่สนใจตลาดนี้ในที่สุด

ในระดับโลก ต้องบอกว่าเอปสันเป็นผู้นำตลาดอิงค์แทงค์มาโดยตลอด เพราะตอนที่อิงค์แทงค์เถื่อนกวาดตลาด recommend ของเครื่องเถื่อนนั้นการันตีว่าต้องเป็นเครื่องเอปสันเท่านั้น ทำให้เมื่อเอปสันมาทำอิงค์แทงค์เอง ความเชื่อถือในตัวเครื่องของตลาด ก็เลยติดตัวมาตั้งแต่นั้นมา ถือเป็นการตลาดที่คลาสสิคเคสนึงเลยทีเดียว

เอปสันเปิดตัวเครื่องพิมพ์ระบบแท็งค์ครั้งแรกในปี 2553 และมียอดขายอีโค่แท็งค์ทะลุ 100 ล้านเครื่องทั่วโลก ปัจจุบัน เอปสันครองส่วนแบ่งตลาดประมาณ 45% ในกลุ่มเครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ทสำหรับสำนักงานและการใช้ภายในบ้านทั่วโลก 

ข้อมูลจากปี 2565 ระบุว่า แคนนอนมีส่วนแบ่งตลาดในกลุ่มพรินเตอร์อิงค์เจ็ทแบบแท็งก์ 22% เป็นอันดับสองรองจากเอปสัน ดังนั้น แม้ว่าแคนนอนจะเป็นผู้นำในตลาดพรินเตอร์โดยรวมในประเทศไทย แต่ในตลาดพรินเตอร์อิงค์แทงค์ เอปสันยังคงครองส่วนแบ่งตลาดสูงกว่า

แต่ในปีนี้ Brother ได้เปิดตัวเครื่องพิมพ์อิงค์แทงค์ซีรีส์ใหม่ “Yes Tank” จำนวน 6 รุ่น พร้อมทุ่มงบการตลาด 40 ล้านบาท เพื่อเจาะตลาดคนรุ่นใหม่และตั้งเป้าเติบโต 20% ก่อนการเปิดตัวซีรีส์ “Yes Tank” Brother ได้พัฒนาและจำหน่ายเครื่องพิมพ์อิงค์แทงค์หลากหลายรุ่นที่ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ในประเทศไทย เช่นรุ่น Brother DCP-T220 นอกจากนี้ ยังมีรุ่น MFC-T910DW ที่เป็นเครื่องพิมพ์อิงค์แทงค์มัลติฟังก์ชันระดับสูง ซึ่งเปิดตัวก่อนซีรีส์ “Yes Tank” และได้รับความนิยมในตลาด

แนวโน้มในอนาคตของตลาดพรินเตอร์อิงค์แทงค์ในประเทศไทยสำหรับแบรนด์ญี่ปุ่นทั้งสาม – Epson, Canon และ Brother สิ่งที่เราจะเห็นก็คือ จะมีการแข่งขันที่เข้มข้นและการเปลี่ยนแปลงตามแนวโน้มของพฤติกรรมผู้บริโภคและเทคโนโลยีดังนี้:

Epson ความเป็นผู้นำระดับโลก: ด้วยประวัติการบุกเบิกระบบแท็งค์ตั้งแต่ต้นและครองส่วนแบ่งตลาดที่สูงทั่วโลก Epson ยังคงใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยและนวัตกรรมใหม่ ๆ เพื่อลดต้นทุนการพิมพ์และเพิ่มประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้ยังคงเป็นตัวเลือกอันดับหนึ่งในตลาดอิงค์แทงค์

แนวโน้มในไทย: ผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับต้นทุนต่อแผ่นและความเสถียรของการพิมพ์จะยังคงเลือก Epson อยู่ในฐานะผู้นำในกลุ่มผู้ใช้ที่ต้องการการพิมพ์ปริมาณมากและการใช้งานที่ต่อเนื่อง
 

Canon ความแข็งแกร่งในคุณภาพและภาพพิมพ์: แม้ในตลาดพรินเตอร์อิงค์แทงค์ Canon จะมีส่วนแบ่งที่น้อยกว่า Epson แต่ก็มีความโดดเด่นในเรื่องคุณภาพภาพและความคงทน ซึ่งเป็นที่นิยมในกลุ่มผู้ใช้งานที่มองหาผลลัพธ์ที่สวยงามและชัดเจน

แนวโน้มในไทย: Canon มีศักยภาพที่จะพัฒนาระบบแท็งค์ของตนเองให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อขยายส่วนแบ่งในตลาด โดยอาจเน้นที่กลุ่มผู้บริโภคในบ้านและสำนักงานขนาดเล็กที่ให้ความสำคัญกับคุณภาพของภาพพิมพ์และความสะดวกในการใช้งาน

 

Brother การเน้นความคุ้มค่าและการออกแบบที่ใช้งานง่าย: Brother มีประวัติการพัฒนาผลิตภัณฑ์อิงค์แทงค์ที่ตอบโจทย์กลุ่มผู้ใช้งานทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่ม SME และผู้ใช้ในบ้าน ซึ่งเห็นได้จากการเปิดตัวซีรีส์ “Yes Tank”  และรุ่นก่อนหน้านั้นที่เน้นความคุ้มค่าและความสะดวกในการเติมหมึก

แนวโน้มในไทย: ด้วยการวางกลยุทธ์ด้านการตลาดที่เข้มข้นและการพัฒนาผลิตภัณฑ์ Brother มีโอกาสที่จะขยายฐานลูกค้าในกลุ่มที่ต้องการเครื่องพิมพ์ที่คุ้มค่า ตอบโจทย์การใช้งานทุกวัน และมุ่งเน้นเทคโนโลยีที่ใช้งานง่าย

 

แนวโน้มตลาดโดยรวมในอนาคต การเติบโตของตลาด: ผู้บริโภคในไทยให้ความสนใจในเรื่องของต้นทุนการพิมพ์ที่ต่ำและประสิทธิภาพที่สูง ทำให้ตลาดอิงค์แทงค์ยังคงมีแนวโน้มเติบโตในกลุ่มผู้ใช้ทั้งในบ้านและธุรกิจขนาดเล็ก นวัตกรรมและการเชื่อมต่อ: การพัฒนาเทคโนโลยี เช่น การเชื่อมต่อไร้สาย ระบบการเติมหมึกที่สะดวก และการเพิ่มฟังก์ชันมัลติฟังก์ชัน จะเป็นตัวขับเคลื่อนให้แต่ละแบรนด์มีความแตกต่างและสามารถตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของผู้บริโภค การแข่งขันที่เข้มข้น: แต่ละแบรนด์จะต้องแข่งขันกันในด้านการตลาดและบริการหลังการขาย โดยการลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ ๆ และการปรับปรุงคุณภาพผลิตภัณฑ์ให้สอดคล้องกับแนวโน้มโลกที่เปลี่ยนไป

Epson ยังคงมีความเป็นผู้นำด้วยนวัตกรรมและการลดต้นทุน Canon มีความโดดเด่นด้านคุณภาพและมีโอกาสขยายตลาดในกลุ่มผู้ที่มองหาภาพพิมพ์ที่เหนือชั้น Brother เน้นความคุ้มค่าและการออกแบบที่ใช้งานง่าย ซึ่งเป็นที่ชื่นชอบในกลุ่มผู้ใช้งานในบ้านและ SME

การนำเทคโนโลยี AI มาประยุกต์ใช้ในตลาดอิงค์แทงค์ในไทย นับเป็นแนวโน้มที่น่าสนใจและอาจเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานและการบริการของแบรนด์ดังทั้งสามได้อย่างมาก เริ่มจาก ประการแรก การปรับปรุงคุณภาพและประสิทธิภาพการพิมพ์ การปรับแต่งภาพและสี: AI สามารถวิเคราะห์เนื้อหาที่จะพิมพ์และปรับตั้งค่าของเครื่องให้เหมาะสมกับงานนั้น ๆ เช่น การปรับแสง สี และคอนทราสต์ เพื่อให้ได้คุณภาพภาพที่ดีที่สุด เพิ่มประสิทธิภาพการพิมพ์: ด้วยการวิเคราะห์พฤติกรรมการใช้งานจริง AI ช่วยปรับเปลี่ยนโหมดการพิมพ์ให้เหมาะกับงานแต่ละประเภท เช่น งานเอกสารหรืองานกราฟิก ช่วยลดการใช้หมึกและเพิ่มความเร็วในการพิมพ์

ประการที่สอง ระบบบำรุงรักษาและแจ้งเตือนเชิงพยากรณ์ ตรวจจับปัญหาและการซ่อมบำรุง: AI สามารถติดตามข้อมูลการทำงานของเครื่องพิมพ์แบบเรียลไทม์ เพื่อตรวจจับปัญหาที่อาจเกิดขึ้น เช่น การอุดตันของหัวพิมพ์ หรือความผิดปกติของการไหลของหมึก และแจ้งเตือนผู้ใช้ให้ดำเนินการบำรุงรักษาล่วงหน้า การจัดการปริมาณหมึก: ระบบสามารถวิเคราะห์ระดับหมึกที่เหลืออยู่และคาดการณ์ระยะเวลาที่หมึกจะหมดลงได้ เพื่อให้การเติมหมึกเป็นไปอย่างราบรื่นและป้องกันการหยุดชะงักของงานพิมพ์

ประการที่สาม การเชื่อมต่อกับสมาร์ทแอพและ IoT การควบคุมจากระยะไกล: การผสาน AI กับแอพพลิเคชันบนสมาร์ทโฟนและอุปกรณ์ IoT ช่วยให้ผู้ใช้สามารถตรวจสอบสถานะเครื่องพิมพ์ บริหารจัดการงานพิมพ์ และรับการแจ้งเตือนผ่านแอพได้ตลอดเวลา บริการหลังการขายที่ชาญฉลาด: AI ยังสามารถให้คำแนะนำและบริการลูกค้าอัตโนมัติผ่าน chatbot หรือระบบช่วยเหลือออนไลน์ เมื่อเกิดปัญหาหรือข้อสงสัยเกี่ยวกับการใช้งาน

แนวโน้มในแต่ละแบรนด์ Epson: ด้วยฐานะผู้นำในตลาดอิงค์แทงค์ระดับโลก Epson มีศักยภาพสูงที่จะผสาน AI เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้หมึกและการบำรุงรักษา นอกจากนี้ยังสามารถใช้ AI ในการวิเคราะห์ข้อมูลการพิมพ์เพื่อปรับปรุงคุณภาพงานพิมพ์และลดต้นทุน Canon: มีชื่อเสียงในเรื่องคุณภาพภาพพิมพ์ อาจใช้ AI เพื่อปรับปรุงความละเอียดและการประมวลผลภาพ โดยเฉพาะในงานพิมพ์ภาพถ่ายและงานกราฟิก รวมทั้งพัฒนาระบบแอพพลิเคชันที่ช่วยให้ผู้ใช้ควบคุมเครื่องพิมพ์ได้อย่างง่ายดาย Brother: ด้วยแนวทางที่เน้นความคุ้มค่าและการออกแบบที่ใช้งานง่าย Brother มีโอกาสนำ AI มาปรับปรุงระบบแจ้งเตือนและบำรุงรักษาแบบพยากรณ์ เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายให้กับผู้ใช้ในกลุ่ม SME และผู้บริโภคทั่วไป รวมถึงพัฒนาฟีเจอร์ที่ช่วยบริหารจัดการต้นทุนการใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การเข้ามาของ “อิงค์แทงค์รุ่นเอไอ” จะเปลี่ยนแปลงประสบการณ์ของผู้บริโภคไทยในหลายด้าน โดยสามารถสรุปผลกระทบที่สำคัญได้ดังนี้: 

1.การปรับปรุงคุณภาพและประสิทธิภาพในการพิมพ์

  • การปรับแต่งแบบอัตโนมัติ:
    AI จะช่วยวิเคราะห์เนื้อหาที่ต้องการพิมพ์และปรับแต่งค่าเช่น ความสว่าง สี และคอนทราสต์ให้เหมาะสมกับงานพิมพ์แต่ละประเภท
  • เพิ่มความเสถียร:
    ด้วยระบบที่เรียนรู้พฤติกรรมการพิมพ์ ผู้ใช้จะได้รับงานพิมพ์ที่มีคุณภาพและคงที่มากขึ้น โดยไม่ต้องปรับตั้งค่าด้วยตนเอง

2. การบำรุงรักษาเชิงพยากรณ์และการแจ้งเตือน

  • ระบบวิเคราะห์การใช้งาน:
    AI สามารถตรวจสอบสภาพของเครื่องพิมพ์แบบเรียลไทม์ คาดการณ์ปัญหา เช่น การอุดตันของหัวพิมพ์หรือระดับหมึกที่ต่ำ
  • การแจ้งเตือนและบริการ:
    ผู้บริโภคจะได้รับการแจ้งเตือนก่อนที่จะเกิดปัญหาใหญ่ ช่วยลดเวลาที่เครื่องพิมพ์อาจหยุดทำงานและลดค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซม

3. การจัดการและบริหารทรัพยากร

  • การบริหารหมึกที่มีประสิทธิภาพ:
    ระบบจะวิเคราะห์ปริมาณหมึกที่ใช้และคาดการณ์ความต้องการในอนาคต ทำให้ผู้ใช้สามารถเติมหมึกได้ตรงเวลาและลดการสูญเสีย
  • การเชื่อมต่อกับแอพพลิเคชัน:
    ผู้ใช้สามารถตรวจสอบสถานะการทำงานของเครื่องพิมพ์ รวมถึงติดตามการใช้งานและคำแนะนำการบำรุงรักษาผ่านสมาร์ทโฟนได้ตลอดเวลา

4. ประสบการณ์ผู้ใช้ที่เหนือชั้น

  • การใช้งานที่ง่ายและไม่ซับซ้อน:
    ด้วยระบบที่เรียนรู้และปรับเปลี่ยนตามพฤติกรรมการใช้งาน ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องรู้เทคนิคการปรับตั้งค่าซับซ้อน เพียงแค่ตั้งค่าเบื้องต้น เครื่องจะดูแลส่วนที่เหลือเอง
  • บริการหลังการขายที่ดีขึ้น:
    AI ช่วยให้การบริการลูกค้าผ่านระบบอัตโนมัติและ chatbot มีความรวดเร็วและแม่นยำ ลดปัญหาที่ผู้ใช้ต้องเผชิญเมื่อต้องติดต่อศูนย์บริการ

5. ผลกระทบทางด้านต้นทุนและสิ่งแวดล้อม

  • ประหยัดต้นทุนระยะยาว:
    การลดการใช้หมึกที่เกินความจำเป็นและการบำรุงรักษาที่มีประสิทธิภาพจะช่วยลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของผู้ใช้
  • เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม:
    ด้วยการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพและลดของเสีย AI ช่วยส่งเสริมการพิมพ์ที่ยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

การตั้งราคาที่เหมาะสมสำหรับเครื่องอิงค์แทงค์ในตลาดไทยนั้น ต้องพิจารณาหลายปัจจัยร่วมกัน ได้แก่ ต้นทุนการผลิต (ชิ้นส่วน, การประกอบ), ค่าใช้จ่ายด้านการตลาดและจัดจำหน่าย, เป้ากำไรที่ต้องการ รวมถึงการแข่งขันในตลาดและความคาดหวังของผู้บริโภค ตัวอย่างการคำนวณสมมุติ (สำหรับการประมาณราคาเบื้องต้น):

1. สำหรับรุ่นพื้นฐาน (เหมาะสำหรับใช้งานที่บ้านหรือสำนักงานขนาดเล็ก)

  • ต้นทุนการผลิต: สมมุติอยู่ที่ประมาณ 2,500 บาท
  • ค่าใช้จ่ายด้านการตลาดและจัดจำหน่าย: ประมาณ 1,000 บาท
  • รวมต้นทุนเบื้องต้น: 2,500 + 1,000 = 3,500 บาท
  • การตั้งเป้ากำไร: 30-40% ของต้นทุน (ประมาณ 1,050 – 1,400 บาท)
  • ราคาขายปลีกที่คำนวณได้: 3,500 + 1,050–1,400 ≈ 4,550 – 4,900 บาท
    ปัดให้เป็นช่วงประมาณ 4,500 – 5,000 บาท

2. สำหรับรุ่นมัลติฟังก์ชันหรือระดับกลาง (ที่มีฟีเจอร์เสริม เช่น การเชื่อมต่อไร้สาย, ฟังก์ชันสแกน/ถ่ายเอกสารเพิ่มเติม)

  • ต้นทุนการผลิต: สมมุติอยู่ที่ประมาณ 4,000 บาท (เนื่องจากมีอุปกรณ์และเทคโนโลยีขั้นสูงเพิ่มเข้ามา)
  • ค่าใช้จ่ายด้านการตลาดและจัดจำหน่าย: ประมาณ 1,500 บาท
  • รวมต้นทุนเบื้องต้น: 4,000 + 1,500 = 5,500 บาท
  • การตั้งเป้ากำไร: 30-40% ของต้นทุน (ประมาณ 1,650 – 2,200 บาท)
  • ราคาขายปลีกที่คำนวณได้: 5,500 + 1,650–2,200 ≈ 7,150 – 7,700 บาท
    ปัดให้เป็นช่วงประมาณ 7,000 – 8,000 บาท

ตลาดอิงค์แทงค์ของสามแบรนด์จากญี่ปุ่นในไทย คงจะไม่หนีไปจากนี้มากนัก เราอาจเห็นการเปลี่ยนอันดับจากการออกมาทุ่มตลาดในช่วงต้นปี ถ้าแบรนด์ไหนเห็นว่าแนวโน้มแล้วจะโดน ก็จะทุ่มสุดตัว เพื่อสร้างส่วนแบ่งการตลาดให้เพิ่มขึ้นไปอีก 10-20% เพราะตัวเลขที่เปลี่ยนแปลงนี้ก็จะทำให้ขึ้นมาเป็นเจ้าตลาดได้เลย แต่ทุกท่านเอ๋ย การตลาดแบบสามแบรนด์ย่อมดีกว่าการตลาดแบบสองแบรนด์ เพราะสองแบรนด์มันเสือนอนกินเกินไป ดังเช่นตลาดโทรคมนาคมไงหละท่านเอ๋ย

Related Articles