อธิปไตยข้อมูล ไทยจะมีเหมือนประเทศยักษ์ใหญ่กับเขาบ้าง?

Share

 

อธิปไตยข้อมูล อธิปไตยเอไอ ชื่อนี้หลายคนอาจไม่คุ้น และไม่อยากยุ่งหรือคุ้นกับมันซะเท่าไหร่ แต่ภาคธุรกิจและการเมืองหลายประเทศ ได้ออกมาเคลื่อนไหวกันแล้ว ว่า “มันต้องมี” ถ้าไม่มีพวกเราจะแย่ในภายหลัง ดังนั้นมาดูกันซะหน่อยว่า ในเรื่องอธิปไตยข้อมูล เราต้องเตรียมพร้อมรับมือกับมันอย่างไรกันบ้าง

เริ่มจากข่าวล่าสุดคือ การรวมตัวของผู้ให้บริการคลาวด์ในยุโรปเพื่อพัฒนา API ที่เน้นอธิปไตยของข้อมูล

ประเด็นสำคัญของข่าวคือ มีการเปิดตัว Sovereign Europe Cloud API (SECA) ถือเป็น API โอเพ่นซอร์สที่พัฒนาโดยผู้ให้บริการคลาวด์ยุโรป ได้แก่ Aruba SpA, Ionos และ Dynamo ระบบนี้ออกแบบมาเพื่อให้ลูกค้าสามารถย้ายแอปพลิเคชัน ข้อมูล และเวิร์กโหลดระหว่างผู้ให้บริการคลาวด์ยุโรปได้ง่ายขึ้น เป็นการเน้นเรื่อง อธิปไตยของข้อมูล (Data Sovereignty) และการปฏิบัติตามมาตรฐานยุโรป

โดยเป้าหมายหลักของ SECA คือ ลดการพึ่งพาบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ เช่น AWS และ Microsoft และเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างผู้ให้บริการคลาวด์ในยุโรป ให้สามารถทำงานร่วมกันได้มากขึ้น

ส่งเสริมระบบนิเวศดิจิทัลของยุโรป ที่เป็นอิสระ ปลอดภัย และแข่งขันได้ในยุคของ AI

ผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงใน CISPE ก็คือ หน่วยงาน CISPE ได้ปรับโครงสร้างการกำกับดูแล โดยอนุญาตเฉพาะผู้ให้บริการคลาวด์ในยุโรปให้ดำรงตำแหน่งคณะกรรมการ และ AWS ต้องออกจากการเป็นคณะกรรมการของ CISPE ซึ่งสะท้อนถึงแนวโน้มที่ยุโรปต้องการลดอิทธิพลของบริษัทเทคโนโลยีอเมริกัน

วิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ นี่เป็นการส่งเสริมอิสรภาพทางเทคโนโลยีของยุโรป โดยมีความพยายามในการสร้าง API และโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นอิสระ สะท้อนให้เห็นว่ายุโรปต้องการลดการพึ่งพา Big Tech ของสหรัฐฯ, SECA ช่วยให้บริษัทต่างๆ มีทางเลือกมากขึ้นในการโฮสต์ข้อมูลโดยไม่ต้องกังวลเรื่องข้อกำหนดทางกฎหมายของอเมริกา เช่น Cloud Act จากการแข่งขันในตลาดคลาวด์ที่ดุเดือด AWS, Microsoft, และ Google ยังคงครองตลาดคลาวด์ของยุโรป การพัฒนาโซลูชันท้องถิ่นต้องแข่งกับยักษ์ใหญ่ที่มีทรัพยากรสูงกว่า, SECA และ EuroStack ต้องสร้างมูลค่าเพิ่มเพื่อจูงใจให้บริษัทต่างๆ เปลี่ยนมาใช้

โอกาสในการเติบโตของ SMEs และนวัตกรรมในยุโรป SECA จะช่วยให้ธุรกิจขนาดเล็กและกลาง (SMEs) ในยุโรปมีตัวเลือกมากขึ้นในการใช้คลาวด์ที่สอดคล้องกับกฎระเบียบของ EU, การทำให้แพลตฟอร์มคลาวด์ทำงานร่วมกันได้ง่ายขึ้น อาจช่วยลดต้นทุนและส่งเสริมนวัตกรรม

นี่คือการสร้าง อธิปไตยของข้อมูล (Data Sovereignty) ภายใต้แนวคิดที่ว่าข้อมูลถูกควบคุมและอยู่ภายใต้กฎหมายของประเทศที่ข้อมูลนั้นถูกจัดเก็บหรือประมวลผล ซึ่งหมายความว่าแต่ละประเทศมีสิทธิ์กำหนดกฎระเบียบเกี่ยวกับการเข้าถึง ควบคุม และปกป้องข้อมูลที่อยู่ในอาณาเขตของตนเอง

โดยสร้างองค์ประกอบหลักของอธิปไตยของข้อมูล ตั้งแต่สถานที่จัดเก็บข้อมูล (Data Localization) โดยข้อมูลต้องถูกเก็บไว้ในเซิร์ฟเวอร์ที่ตั้งอยู่ภายในประเทศที่กฎหมายกำหนด ตัวอย่าง: กฎหมาย GDPR ของสหภาพยุโรป กำหนดว่าข้อมูลส่วนบุคคลของพลเมืองยุโรปต้องถูกจัดเก็บและประมวลผลภายใต้กฎระเบียบของยุโรป, กฎหมายและข้อบังคับท้องถิ่น (Jurisdiction & Regulations) ข้อมูลที่เก็บไว้ภายในประเทศต้องอยู่ภายใต้กฎหมายของประเทศนั้น ตัวอย่าง: Cloud Act ของสหรัฐฯ อนุญาตให้รัฐบาลสหรัฐฯ สามารถขอข้อมูลที่เก็บไว้บนเซิร์ฟเวอร์ของบริษัทอเมริกันได้ แม้ว่าข้อมูลนั้นจะอยู่ในต่างประเทศ

การควบคุมข้อมูลโดยองค์กรหรือรัฐบาล (Data Governance & Control) องค์กรและรัฐบาลต้องมีอำนาจควบคุมว่าใครสามารถเข้าถึงหรือใช้ข้อมูลได้ ต้องกำหนดมาตรการด้านความปลอดภัยเพื่อป้องกันการเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาต

ความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูล (Data Security & Privacy) ข้อมูลต้องได้รับการปกป้องจากการโจมตีทางไซเบอร์ และต้องปฏิบัติตามมาตรฐานด้านความปลอดภัยที่กำหนด ตัวอย่าง: กฎหมาย PDPA ของไทย และ GDPR ของยุโรป เน้นการปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลและสิทธิ์ของผู้ใช้

จะเห็นว่าความสำคัญของอธิปไตยของข้อมูล เป็นการลดการพึ่งพาต่างชาติและป้องกันการแทรกแซง ช่วยให้ประเทศสามารถควบคุมข้อมูลของพลเมืองและองค์กรได้เอง โดยไม่ต้องพึ่งพาแพลตฟอร์มของต่างชาติ เช่น AWS, Google Cloud หรือ Microsoft Azure ลดความเสี่ยงที่รัฐบาลต่างชาติจะสามารถเข้าถึงหรือดักฟังข้อมูลสำคัญ, เพิ่มความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ ป้องกันข้อมูลรั่วไหลไปยังประเทศที่อาจมีนโยบายที่ขัดกับผลประโยชน์ของประเทศนั้น ๆ การมีโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์ของตัวเองช่วยให้สามารถรับมือกับภัยคุกคามทางไซเบอร์ได้ดียิ่งขึ้น, สอดคล้องกับกฎหมายความเป็นส่วนตัวของแต่ละประเทศ ซึ่งหลายประเทศมีข้อกำหนดที่เข้มงวดเกี่ยวกับการปกป้องข้อมูล เช่น GDPR ของยุโรป หรือ PDPA ของไทย หากข้อมูลถูกเก็บไว้ในประเทศ ผู้ใช้สามารถมั่นใจได้ว่าข้อมูลจะได้รับการปกป้องตามกฎหมายท้องถิ่น

ตัวอย่างของอธิปไตยของข้อมูลในแต่ละภูมิภาค ยุโรป – GDPR (General Data Protection Regulation) ข้อมูลของพลเมืองยุโรปต้องถูกเก็บและดำเนินการภายใต้กฎหมายของ EU, บริษัทต่างชาติที่ต้องการให้บริการในยุโรปต้องปฏิบัติตามกฎหมาย GDPR  จีน – Cybersecurity Law กฎหมายของจีนกำหนดให้ข้อมูลของชาวจีนต้องถูกเก็บและประมวลผลภายในประเทศ บริษัทต่างชาติที่ทำธุรกิจในจีนต้องมีดาต้าเซ็นเตอร์ในจีน รัสเซีย – Data Localization Law ข้อมูลของพลเมืองรัสเซียต้องถูกเก็บไว้ในเซิร์ฟเวอร์ที่ตั้งอยู่ในรัสเซีย ห้ามส่งออกข้อมูลออกนอกประเทศโดยไม่ได้รับอนุญาต อินเดีย – Personal Data Protection Bill (PDPB) มีแนวโน้มจะกำหนดให้ข้อมูลสำคัญของพลเมืองอินเดียต้องถูกเก็บไว้ในประเทศ ไทย – PDPA (Personal Data Protection Act) มีข้อกำหนดเกี่ยวกับการปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลและกำหนดเงื่อนไขเกี่ยวกับการส่งข้อมูลออกนอกประเทศ

ความท้าทายของอธิปไตยของข้อมูล ต้นทุนการดำเนินงานสูง การสร้างโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์ในประเทศต้องใช้เงินลงทุนสูง ทำให้บางประเทศยังต้องพึ่งพาผู้ให้บริการจากต่างประเทศ, ความยากในการบูรณาการระบบคลาวด์ข้ามประเทศ หากแต่ละประเทศมีมาตรฐานและข้อจำกัดของตัวเอง อาจทำให้ธุรกิจที่ทำงานในหลายประเทศพบอุปสรรคในการดำเนินงาน, ข้อจำกัดด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม หากปิดกั้นการใช้บริการจากต่างชาติ อาจทำให้ประเทศสูญเสียโอกาสในการเข้าถึงเทคโนโลยีขั้นสูงจากผู้ให้บริการระดับโลก

อธิปไตยของข้อมูลจึงเป็นแนวคิดที่ช่วยให้ประเทศสามารถควบคุม ปกป้อง และกำหนดกฎระเบียบเกี่ยวกับข้อมูลภายในอาณาเขตของตนเอง โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มความปลอดภัย ปกป้องความเป็นส่วนตัว และลดการพึ่งพาแพลตฟอร์มต่างชาติ อย่างไรก็ตาม การบังคับใช้แนวคิดนี้อาจมีความท้าทายในแง่ของต้นทุน การพัฒนาระบบ และการเชื่อมต่อกับเศรษฐกิจโลก ในปัจจุบัน หลายประเทศกำลังให้ความสำคัญกับแนวคิดนี้มากขึ้น 

หากประเทศไทยต้องการสร้าง “อธิปไตยของข้อมูล” (Data Sovereignty) อย่างเต็มระบบ จำเป็นต้องมี โครงสร้างพื้นฐาน กฎหมาย และนโยบาย ที่ครอบคลุมทั้งการจัดเก็บข้อมูล ความปลอดภัย และการควบคุมโดยรัฐ โดยต้องพิจารณาทั้ง 6 ด้านหลัก ดังนี้

  1. การออกกฎหมายและข้อบังคับที่เข้มแข็ง ต้องมี กฎหมายที่ชัดเจน เกี่ยวกับการจัดเก็บ ควบคุม และการใช้ข้อมูลของประชาชนและองค์กรในประเทศกฎหมายที่เกี่ยวข้องที่ควรมี ปรับปรุงกฎหมาย PDPA (Personal Data Protection Act) ให้เข้มงวดยิ่งขึ้น เช่น การกำหนดให้ข้อมูลสำคัญของคนไทยต้องเก็บในประเทศ, ออกกฎหมาย Data Localization บังคับให้แพลตฟอร์มต่างชาติ เช่น Google, Facebook, AWS ต้องมีดาต้าเซ็นเตอร์ในไทย, กฎหมายความมั่นคงทางไซเบอร์ (Cybersecurity Law) เพื่อป้องกันการเข้าถึงข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาตจากรัฐบาลต่างชาติ, กฎหมายเกี่ยวกับสิทธิการเข้าถึงและควบคุมข้อมูล (Data Governance Law) เพื่อกำหนดให้ข้อมูลของภาครัฐและภาคเอกชนต้องถูกควบคุมโดยหน่วยงานของไทย ตัวอย่างประเทศที่ทำสำเร็จ จีน: บังคับให้บริษัทต่างชาติเก็บข้อมูลในประเทศ (ผ่านกฎหมาย Cybersecurity Law) รัสเซีย: บังคับใช้ Data Localization Law ห้ามส่งข้อมูลออกนอกประเทศโดยไม่ได้รับอนุญาต
  2. การสร้างโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์แห่งชาติ (National Cloud Infrastructure) ประเทศไทยต้องมี ผู้ให้บริการคลาวด์ภายในประเทศ ที่มีความสามารถแข่งขันกับ AWS, Google Cloud, Microsoft Azureแนวทางที่ต้องทำ สร้าง “Thailand National Cloud” ที่รัฐเป็นเจ้าของและให้บริการแก่หน่วยงานภาครัฐและเอกชน, สนับสนุนบริษัทไทย เช่น NT, True IDC, INET ให้พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์ที่ได้มาตรฐานระดับโลก ดึงดูดการลงทุนจากเอกชน เพื่อให้เกิดการแข่งขันในตลาดคลาวด์ไทย เชื่อมต่อกับระบบ 5G และ AI เพื่อรองรับปริมาณข้อมูลขนาดใหญ่ ตัวอย่างประเทศที่ทำสำเร็จ ฝรั่งเศส: มีโครงการ “GAIA-X” เพื่อสร้างคลาวด์อธิปไตยของยุโรป อินโดนีเซีย: บังคับให้บริษัทต่างชาติ เช่น Google และ Facebook ตั้งดาต้าเซ็นเตอร์ในประเทศ
  3. การพัฒนาระบบความปลอดภัยทางไซเบอร์ระดับประเทศ ต้องมีระบบ Cybersecurity ที่สามารถปกป้องข้อมูลของประเทศจากภัยคุกคามภายนอกแนวทางที่ต้องทำ ตั้งศูนย์ Cyber Security Center ระดับประเทศ ทำหน้าที่เฝ้าระวังและรับมือภัยไซเบอร์, พัฒนาระบบป้องกันข้อมูลของภาครัฐ ป้องกันการแฮกข้อมูลจากต่างประเทศ, สร้างระบบตรวจสอบและรับรองความปลอดภัยของแพลตฟอร์มคลาวด์ ที่ต้องการให้บริการในไทย ตัวอย่างประเทศที่ทำสำเร็จ สหรัฐฯ: มี Cybersecurity and Infrastructure Security Agency (CISA) คอยตรวจสอบภัยคุกคามทางไซเบอร์ สิงคโปร์: มี Cyber Security Agency (CSA) รับผิดชอบดูแลความปลอดภัยทางไซเบอร์ระดับประเทศ
  4. การควบคุมแพลตฟอร์มต่างชาติ และการกำกับดูแลข้อมูลข้ามพรมแดน หากแพลตฟอร์มต่างชาติให้บริการในไทย ต้องอยู่ภายใต้กฎหมายไทย และต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขของรัฐบาลแนวทางที่ต้องทำ ต้องบังคับให้บริษัทเทคโนโลยีต่างชาติ เช่น Facebook, Google, TikTok ตั้งสำนักงานในไทย และเก็บข้อมูลผู้ใช้ไทยในเซิร์ฟเวอร์ไทย, จำกัดการส่งข้อมูลออกนอกประเทศ โดยกำหนดให้ต้องได้รับอนุญาตจากหน่วยงานรัฐก่อน, ควบคุมการเข้าถึงข้อมูลของหน่วยงานต่างประเทศ เช่น สหรัฐฯ ไม่ควรสามารถเข้าถึงข้อมูลของคนไทยผ่าน Cloud Act ได้ ตัวอย่างประเทศที่ทำสำเร็จ จีน: บังคับให้บริษัทต่างชาติเก็บข้อมูลในประเทศและให้รัฐบาลจีนสามารถตรวจสอบข้อมูลได้ รัสเซีย: ห้ามบริษัทต่างชาติเข้าถึงข้อมูลของพลเมืองรัสเซียโดยไม่ได้รับอนุญาต
  5. การส่งเสริมอุตสาหกรรมดิจิทัลและนวัตกรรมในประเทศ การมีอธิปไตยของข้อมูลต้องมาพร้อมกับ การพัฒนาอุตสาหกรรมเทคโนโลยีภายในประเทศแนวทางที่ต้องทำ ส่งเสริมการพัฒนาแพลตฟอร์มเทคโนโลยีไทย เช่น Social Media, Search Engine, e-Commerce ที่ไม่ต้องพึ่งพาบริษัทต่างชาติ, พัฒนาผู้ให้บริการ Cloud และ Data Center ของไทย ให้สามารถแข่งขันกับบริษัทระดับโลก, สนับสนุน Startup ไทยที่ทำเกี่ยวกับ AI, Big Data, Blockchain เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน ตัวอย่างประเทศที่ทำสำเร็จ จีน: มี Baidu, WeChat, Alibaba ที่เป็นแพลตฟอร์มของตัวเอง อินเดีย: พัฒนาโครงการ “India Stack” เพื่อสร้างระบบดิจิทัลของตัวเอง
  6. การให้ความรู้และสร้างความตระหนักเรื่องอธิปไตยของข้อมูล ประชาชนและธุรกิจต้องเข้าใจถึงความสำคัญของ Data Sovereigntyแนวทางที่ต้องทำ จัดอบรมและให้ความรู้แก่ภาคธุรกิจและประชาชน ว่าทำไมข้อมูลของคนไทยควรถูกเก็บไว้ในประเทศ สร้างแรงจูงใจให้ภาคธุรกิจเลือกใช้บริการคลาวด์ไทยแทน AWS หรือ Google Cloud ให้ความสำคัญกับหลักสูตรด้าน Cybersecurity และ Data Governance ในมหาวิทยาลัย ตัวอย่างประเทศที่ทำสำเร็จ ยุโรป: รณรงค์ให้บริษัทใช้ระบบคลาวด์ที่ปฏิบัติตาม GDPR สิงคโปร์: มีการอบรม Cybersecurity ให้ประชาชนและธุรกิจ

สรุป หากประเทศไทยต้องการ “อธิปไตยของข้อมูล” (Data Sovereignty) อย่างเต็มรูปแบบ ต้องดำเนินการใน 6 ด้านหลัก ได้แก่ ออกกฎหมายที่เข้มแข็ง เพื่อควบคุมการจัดเก็บและการใช้ข้อมูล, สร้างโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์ของไทยเอง เช่น Thailand National Cloud, พัฒนาความมั่นคงทางไซเบอร์ เพื่อป้องกันภัยคุกคามจากต่างชาติ, ควบคุมแพลตฟอร์มต่างชาติและการส่งข้อมูลออกนอกประเทศ, ส่งเสริมอุตสาหกรรมดิจิทัลของไทย เพื่อพึ่งพาเทคโนโลยีของตัวเอง, สร้างความตระหนักและให้ความรู้แก่ภาคธุรกิจและประชาชน ถ้าทำได้สำเร็จ ไทยจะมีระบบนิเวศดิจิทัลที่ปลอดภัย แข่งขันได้ และสามารถปกป้องข้อมูลของคนไทยจากอิทธิพลของต่างชาติได้อย่างแท้จริง

 

Related Articles