บพท.ดัน“App Tech”สร้างรายได้ครัวเรือน“ตอบโจทย์แก้จน”

Share

 

นางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ได้กำหนดนโยบายให้หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) เป็นหน่วยงานหลักในการ“ขยายผลวิจัยเทคโนโลยีพร้อมใช้เพื่อยกระดับเศรษฐกิจฐานรากและแก้หนี้ครัวเรือน” โดยร่วมกับเครือข่ายมหาวิทยาลัยราชภัฏ (มรภ.) และเครือข่ายมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล (มทร.) นำเทคโนโลยีที่เหมาะสมและนวัตกรรมพร้อมใช้จากทั้ง 2 สถาบัน ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ผ่านการพิสูจน์ประสิทธิภาพและประสิทธิผลการใช้งานจริงมาแล้วนำไปต่อยอด ขยายผลโดยใช้ประโยชน์ในการเสริมสร้างรายได้ เสริมสร้างความเข้มแข็งแก่เศรษฐกิจชุมชน และเศรษฐกิจฐานราก

ทั้งนี้ การเลือกหรือกำหนด“นวัตกรรมและเทคโนโลยีพร้อมใช้ที่จะถ่ายทอด”ให้สอดคล้องกับบริบทและความต้องการของแต่ละชุมชนหรือพื้นที่ คือ ปัจจัยหนึ่งที่มีความสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงจากเกษตรดั้งเดิมสู่เกษตรสมัยใหม่ ที่จะช่วยให้เศรษฐกิจฐานรากเติบโตอย่างยั่งยืนและสามารถตอบสนองต่อความต้องการของตลาดโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ด้าน รองศาสตราจารย์ ดร.พีระเดช ทองอำไพ ประธานอนุกรรมการพิจารณาติดตามและประเมินผล แผนงานย่อยรายประเด็น การขยายผลวิจัยเทคโนโลยีที่เหมาะสมเพื่อยกระดับเศรฐกิจฐานรากและแก้หนี้ครัวเรือน หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.)  กล่าวว่า หนึ่งในเป้าหมายสำคัญของ บพท. เกี่ยวกับการสนับสนุนการนำผลงานวิจัยและนวัตกรรมที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีที่เหมาะสม (Appropriate Technology – App Tech)  ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ คือ การขยายผลการทำงานร่วมกับเครือข่ายมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลและเครือข่ายมหาวิทยาลัยราชภัฏในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาไปสู่การทำงานกับสถาบันอุดมศึกษาในพื้นที่ เพื่อขยายฐานข้อมูลด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีพร้อมใช้ ที่มีอยู่ประมาณ 3,000 ชิ้น ซึ่งหมายถึงโอกาสที่ชุมชนทั่วประเทศจะเข้าถึงนวัตกรรมที่เหมาะสมกับความต้องการหรือโจทย์ปัญหาของพื้นที่เพิ่มขึ้น

“ที่ผ่านมาการนำนวัตกรรมหรือเทคโนโลยีพร้อมใช้ที่เคยประสบผลสำเร็จจากพื้นที่หนึ่งไปขยายผลในพื้นที่อื่นนั้น ต้องมั่นใจว่าใช้แล้วต้องได้ผลเพราะหากขยายผลแล้วไม่ได้ผล คนที่ได้รับผลกระทบก็คือชาวบ้าน ดังนั้น หลังจากที่ บพท.มีการแสวงหาเทคโนโลยีใหม่ ๆ รวมถึงการสำรวจความต้องการเทคโนโลยีในพื้นที่ต่าง ๆ  แล้วนำผลงานวิจัยมาพัฒนาปรับปรุงหรือขยายผลจากพื้นที่ต้นแบบ รวมถึงการพัฒนาแพลตฟอร์มเพื่อการเผยแพร่แล้ว สิ่งที่ บพท. ดำเนินการต่อในปีที่ผ่านมา คือการจัดกิจกรรม Matching Day ใน 4 ภูมิภาค เพื่อให้เกิดการ Matching ระหว่างนวัตกรรมพร้อมใช้ที่ได้รวบรวมไว้กับกลุ่มวิสาหกิจชุมชนและกลุ่มเกษตรกร  ซึ่งผลจากการจัดกิจกรรรมดังกล่าว ทำให้เกิดโครงการที่นำไปสู่การขยายผล App Tech ปี 2567 จำนวน  67 ทุน”

อย่างไรก็ตาม เพื่อให้เกิดการขยายผลการ Matching ระหว่างผู้ใช้กับนวัตกรรมในรูปแบบต่าง ๆ   นอกจากนี้ บพท. ยังมีแผนการขยายผลการดำเนินงานเชิงลึก เพื่อให้เกิดรูปธรรมความสำเร็จที่ชัดเจนในแง่ของการสร้างรายได้ให้กับครัวเรือน

“เป้าหมายของการนำผลงานวิจัยและนวัตกรรมที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีที่เหมาะสมไปใช้ประโยชน์ ของ บพท. จะมีทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ซึ่งปีนี้ตั้งเป้าไว้ว่า โครงการภายใต้กรอบ App Tech ของ บพท. จะต้องทำให้ครัวเรือนอย่างน้อย 6,000 ครัวเรือน มีรายได้เพิ่มจากการใช้ App Tech เฉลี่ยไม่น้อยกว่าเดือนละ 5,000 บาท  หรือเท่ากับ  60,000 บาทต่อปี”

ในส่วนของการทำงานของ App tech นั้น รองศาสตราจารย์ ดร.พีระเดช กล่าวว่า เป็นทำงานในลักษณะแนวตั้ง ทั้งการทำ Pre-App Tech ที่มองหานวัตกรรมและเทคโนโลยีที่เหมาะสมกับการเป็น App Tech เพื่อเพิ่มจำนวนนวัตกรรมและเทคโนโลยีพร้อมใช้ในฐานข้อมูลให้มากขึ้น และการทำ Potential App Tech  ที่เป็นการคัดสรร App Tech ที่มีศักยภาพให้เกิดการใช้ประโยชน์ในวงกว้างโดยมีเป้าหมายคือ การยกระดับจากตลาดชุมชนไปสู่ “ตลาดสากล”

สอดคล้องกับ ดร.กิตติ สัจจาวัฒนา ผู้อำนวยการหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่(บพท.) กล่าวเสริมว่า App tech ที่ บพท. ดำเนินการในขณะนี้ ไม่ได้มองเฉพาะปัญหาของกลุ่มเกษตรกร หรือกลุ่มวิสาหกิจชุมชนเท่านั้น แต่เป็นการมองการทำงานทั้งระบบ เพื่อนำไปสู่เป้าหมายการขับเคลื่อนงานของ บพท. คือ การยกระดับเศรษฐกิจฐานรากให้สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ โดยมีเป้าหมายปลายทาง คือ การทำให้ครัวเรือนที่เป็นหน่วยผลิตที่เล็กที่สุด สามารถเข้าถึงระบบเศรษฐกิจมหภาคได้อย่างแท้จริงและยั่งยืน

“การเข้าไปทำให้เกิดโมเดลครัวเรือน ของ บพท.  คือ การสร้างเศรษฐกิจชุมชน ที่เริ่มจากการทำให้เกิดซื้อขายผลิตภัณฑ์ภายในชุมชน และยกระดับไปสู่ธุรกิจชุมชน (Local Business) เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนด้วยเศรษฐกิจในระดับพื้นที่ และยกระดับเป็นเครือข่ายธุรกิจชุมชนหรือ Cluster ในการเชื่อมโยงระหว่าง Local Value Chain กับ Global Value Chain เพื่อให้สินค้าชุมชนสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ ซึ่งหมายถึงเม็ดเงินใน Value Chain ที่หมุนคืนสู่กลุ่มคนต้นน้ำอย่างเหมาะสมและเป็นธรรมในที่สุด”

 

Related Articles